ต้นกำเนิดและความหมายแฝงของ "Spectre/Gespenst": การตีความเชิงลึกของคำเปิดของการประกาศคอมมิวนิสต์

การวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการเปิดที่โด่งดังของคาร์ลมาร์กซ์และฟรีดริชเอ็นเกลส์ "ผีผีของคอมมิวนิสต์เดินไปทั่วยุโรป" โดยคาร์ลมาร์กซ์และฟรีดริชเองเพื่อทำความเข้าใจบริบททางประวัติศาสตร์ของเอกสารทางการเมืองยุคสมัยนี้ทฤษฎีการต่อสู้ทางชนชั้น

แถลงการณ์คอมมิวนิสต์ ซึ่งเดิมรู้จักกันในชื่อ "แถลงการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์" เขียนโดยนักคิดชาวเยอรมันสองคนคาร์ลมาร์กซ์และฟรีดริชเอ็นเกลส์ โปรแกรมทางการเมืองในประวัติศาสตร์นี้ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในลอนดอนเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1848 ในหนังสือเล่มเดียวและเป็นหนึ่งในเอกสารทางการเมืองที่อ่านมากที่สุดในโลก มันให้หลักการชี้นำสำหรับขบวนการคอมมิวนิสต์และอธิบายทฤษฎีสังคมนิยมวิทยาศาสตร์อย่างเป็นระบบด้วยรูปแบบการเขียนที่งดงามและความเข้าใจที่ลึกซึ้งอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญในประวัติศาสตร์ทั้งหมดของความคิดของมนุษย์

คำอุปมาของ "Spectre/Gespenst": การประกาศความกลัวและอำนาจ

บรรทัดเปิดของแถลงการณ์คอมมิวนิสต์ได้รับความสนใจจากผู้อ่านทันทีและประกาศธีมของมันด้วยพู่กันที่น่าทึ่ง: " ผีผีของคอมมิวนิสต์เดินไปทั่วยุโรป "

คำว่า Spectre เป็น gespenst ในข้อความภาษาเยอรมันต้นฉบับและการแปลภาษาอังกฤษมักจะเป็นปีศาจ ประโยคการเปิดเชิงเปรียบเทียบนี้ไม่เพียง แต่ติดต่อได้มากในวรรณคดีเท่านั้น แต่ยังเผยให้เห็นสถานการณ์ปัจจุบันในยุโรปในเวลานั้นในการเมือง:

1. ความกลัวและการใส่ร้ายของกองกำลังอนุรักษ์ : มาร์กซ์และเองก็ชี้ให้เห็นว่ากองกำลังเก่าทั้งหมดในยุโรปในเวลานั้น-รวมถึงสมเด็จพระสันตะปาปาและซาร์, Metternich และ Guizot, อนุมูลของฝรั่งเศสและสเปียตำรวจเยอรมัน-ได้กลายเป็น "พันธมิตรศักดิ์สิทธิ์" โดยมีเป้าหมาย
2. การรับรู้ถึงอำนาจ : ความจริงข้อนี้แสดงให้เห็นว่าคอมมิวนิสต์ " ได้รับการยอมรับว่าเป็นพลังของกองกำลังยุโรปทั้งหมด " ชนชั้นปกครองถือว่าคอมมิวนิสต์เป็น "ผี" หรือ "Poeth Man" ในความพยายามที่จะข่มขู่ผู้คนและทำให้พวกเขาเบื่อหน่ายและห่างไกลจากความคิดสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์
3. ความจำเป็นของการประกาศสาธารณะ : ต้องเผชิญกับ "ตำนาน" นี้ที่ใช้ในการ "ใส่ร้าย" ฝ่ายค้านคอมมิวนิสต์เชื่อว่า "ถึงเวลาที่จะอธิบายมุมมองของพวกเขาสาธารณะจุดประสงค์และแนวโน้มของพวกเขาต่อโลก ดังนั้นการเปิดตัวของคอมมิวนิสต์แถลงการณ์จึงเป็นเรื่องประชดและการพิสูจน์ของกองกำลังอนุรักษ์ในยุโรปเก่า

มาร์กซ์และเอนเกลส์เล็งเห็นว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นคอมมิวนิสต์กลายเป็นกองกำลังปฏิวัติชนชั้นทุนนิยมจะรู้สึกมีปัญหากับ "ผี" และพยายามที่จะทำลายมัน

ภูมิหลังการเกิดและประวัติศาสตร์ของการประกาศคอมมิวนิสต์

การตีพิมพ์ของคอมมิวนิสต์แถลงการณ์เป็นผลมาจากความไม่สงบทางสังคมที่รุนแรงในยุโรปในช่วงกลางศตวรรษที่ 19

กระบวนการทำงานร่วมกันและการทำบุ๊คมอน

แถลงการณ์คอมมิวนิสต์ได้รับการเขียนร่วมกันโดย Karl Marx และ Friedrich Engels แม้ว่าเอกสารจะลงนามโดยคนสองคน แต่การประเมินส่วนใหญ่ถือว่ามาร์กซ์เป็นผู้เขียนหลัก ก่อนหน้านี้ Engels เคยได้รับหน้าที่จากสาขาปารีสของ "ความยุติธรรมทั้งหมด" เพื่อเขียนร่างสองร่างของ "ร่างลัทธิคอมมิวนิสต์" และ "หลักการของลัทธิคอมมิวนิสต์" ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับการเขียนของ "การประกาศคอมมิวนิสต์"

ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม ค.ศ. 1847 ลีกคอมมิวนิสต์จัดสภาคองเกรสครั้งที่สองในลอนดอนตัดสินใจที่จะแทนที่แบบฟอร์มคำถามและคำตอบและคำตอบ "แบบดั้งเดิมในรูปแบบของการประกาศและได้รับความไว้วางใจมาร์กซ์และเอง

มาร์กซ์เสร็จสิ้นการเขียนส่วนใหญ่ของเขาในกรุงบรัสเซลส์เบลเยียมและส่งต้นฉบับไปลอนดอนในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1848 โบรชัวร์ 23 หน้าดั้งเดิมนี้ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในเยอรมันในลอนดอนในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1848 และได้รับการตีพิมพ์ในเวลาเดียวกันกับการระบาดของการปฏิวัติยุโรปในปี ค.ศ. 1848

การส่งสัญญาณล่วงหน้าและผลกระทบทั่วโลก

ในช่วงสองสามปีแรกที่ Communist Manifesto ไม่ได้ดึงดูดความสนใจมากนักและมันก็ไม่ได้เริ่มฟื้นขึ้นมาจนกว่ามาร์กซ์จะกลายเป็นประเทศแรกในยุค 1870 มันเปลี่ยนโลกอย่างลึกซึ้งและแปลเป็นมากกว่า 1,000 เวอร์ชันในกว่า 200 ภาษา

• การแปลที่เร็วที่สุด : การแปลภาษาอังกฤษครั้งแรก (แปลโดย Helen MacFarlane) ได้รับการตีพิมพ์ในปี 1850 การแปลภาษารัสเซียครั้งแรกได้รับการแปลโดย Bakunin และตีพิมพ์ในเจนีวาในยุค 1860
• สถานะของเอกสารทางประวัติศาสตร์ : มาร์กซ์และเอนเชลส์ชี้ให้เห็นในคำนำของฉบับปี 1872 ว่าแม้ว่ารายละเอียดบางอย่างล้าสมัยไปแล้วพวกเขา " ไม่มีสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนใด ๆ " เพราะมันกลายเป็น " เอกสารประวัติศาสตร์ "
• โฟกัสร่วมสมัย : เข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ด้วยการระบาดของวิกฤตเศรษฐกิจโลก (เช่นวิกฤตการณ์ทางการเงินระดับโลกปี 2551) การฟื้นตัวของความสนใจในมาร์กซ์และมาร์กซ์ไอเดียในสังคมตะวันตกทำให้เกิดการขายคอมมิวนิสต์

วัตถุนิยมทางประวัติศาสตร์: การตีความทางวิทยาศาสตร์ของการต่อสู้ทางชนชั้น

แนวคิดหลักของการประกาศคอมมิวนิสต์คือลัทธิวัตถุนิยมทางประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญของทฤษฎีมาร์กซิสต์

การต่อสู้ทางชนชั้นเป็นแรงผลักดันของประวัติศาสตร์

แถลงการณ์คอมมิวนิสต์ระบุอย่างชัดเจนว่า: "จนถึงทุกวันนี้ประวัติศาสตร์ทั้งหมดของสังคมคือประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ทางชนชั้น" มีความขัดแย้งระหว่างผู้กดขี่และผู้ถูกกดขี่ในสังคมมนุษย์เช่นคนอิสระและทาสในสังคมโบราณขุนนางศักดินาและเซอร์ฟในยุคกลาง ผลของการต่อสู้เหล่านี้คือการเปลี่ยนแปลงปฏิวัติของสังคมโดยรวมหรือการทำลายล้างทั่วไปของชนชั้นการต่อสู้

ในสังคมสมัยใหม่ฝ่ายค้านในชั้นเรียนได้รับการทำให้ง่ายขึ้นและสังคมแบ่งออกเป็นสองค่ายที่เป็นศัตรูสองค่ายสองชั้นเรียนตรงข้าม:

1. Bourgeoisie : เป็นเจ้าของวิธีการผลิตทางสังคมเป็นชั้นเรียนทุนนิยมสมัยใหม่และเป็นนายจ้างที่จ้างแรงงานค่าจ้าง
2. Proletariat : คนงานที่มีงานทำสมัยใหม่ที่ไม่มีวิธีการผลิตของตัวเองและต้องขายแรงงานของพวกเขาเพื่อความอยู่รอด พวกเขาเป็นสินค้าทุนและได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาด

ความขัดแย้งของทุนนิยมและ gravediggers

การประกาศคอมมิวนิสต์วิพากษ์วิจารณ์ทุนนิยมอย่างลึกซึ้ง มันชี้ให้เห็นว่าชนชั้นกลางมี บทบาท "การปฏิวัติมาก" ในประวัติศาสตร์และสร้างผลผลิตที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อนโดยการสร้างสรรค์เครื่องมือการผลิตและความสัมพันธ์การผลิตอย่างต่อเนื่อง ชนชั้นกลางสร้างตลาดโลกและผ่านการเอารัดเอาเปรียบของตลาดโลกทำให้การผลิตและการบริโภคเป็นธรรมชาติทั่วโลก

อย่างไรก็ตามระบบทุนนิยมยังเป็นระบบการแสวงหาผลประโยชน์โดยธรรมชาติซึ่งแทนที่การแสวงหาผลประโยชน์ที่ครอบคลุมโดย "แฟนตาซีทางศาสนาและการเมือง" ในความสัมพันธ์เกี่ยวกับระบบศักดินาที่ผ่านมากับ "เปลือยกายไร้ยางอายตรงไปตรงมา มันไม่มีการเชื่อมต่ออื่น ๆ ระหว่างผู้คนยกเว้น "เงินเดิมพันเปลือยกาย" และ "ธุรกรรมเงินสด '"

มาร์กซ์และเอนเกลส์ย้ำว่าสภาพความเป็นอยู่ของระบบทุนนิยมอยู่ในการก่อตัวและการเพิ่มจำนวนทุนและเงื่อนไขของเงินทุนเป็นค่าแรง ระบบนี้ ไม่สามารถมั่นใจได้ว่า "ทาส" - ชนชั้นกรรมาชีพ - สามารถอยู่รอดได้ในการเป็นทาส เนื่องจากความขัดแย้งภายใน (เช่นการขัดเกลาทางสังคมของการผลิตและการครอบครองส่วนตัวของวิธีการผลิต) ดังนั้นชนชั้นกลาง " ผลิต gravedigger ของตัวเอง " และการตายของมันและชัยชนะของชนชั้นกรรมาชีพจึงเป็น "หลีกเลี่ยงไม่ได้"

สาระสำคัญหลักของโปรแกรมคอมมิวนิสต์: กำจัดความเป็นเจ้าของส่วนตัวของชนชั้นกลาง

ในการต่อสู้ระหว่างชนชั้นกรรมาชีพและชนชั้นกลางคอมมิวนิสต์เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของขบวนการทั้งหมด "วัตถุประสงค์ล่าสุด" ของพวกเขาคือการทำให้ชนชั้นกรรมาชีพเป็นชั้นเรียนโค่นล้มกฎของชนชั้นกลางและยึดอำนาจโดยชนชั้นกรรมาชีพ

การยกเลิกทรัพย์สินส่วนตัว

ทฤษฎีของพรรคคอมมิวนิสต์สามารถสรุปได้ว่าเป็นหนึ่งประโยค: “ กำจัดความเป็นเจ้าของส่วนตัว”

มันควรจะชัดเจนว่าสิ่งที่คอมมิวนิสต์มุ่งหวังที่จะยกเลิก "ทรัพย์สินส่วนตัวของชนชั้นกลาง" นั่นคือชนิดของการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินของผู้อื่นโดยใช้แรงงานค่าจ้างคือ "รากฐานของการต่อต้านในชั้นเรียน พวกเขาไม่ได้คัดค้านทรัพย์สินส่วนบุคคลที่ได้รับจากงานฝีมือขนาดเล็กหรือเกษตรกรรายย่อยผ่านแรงงานของตนเองเพราะการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ได้ทำลายทรัพย์สินรูปแบบนี้ทุกวัน

ชนชั้นกลางเชื่อว่าคอมมิวนิสต์มุ่งมั่นที่จะกำจัดอิสรภาพและความเป็นอิสระของแต่ละบุคคล แต่มาร์กซ์และเอนเกลส์ตอบว่า "อิสรภาพ" ของชนชั้นกลางนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่า "การค้าเสรีและการซื้อขายฟรีตามความสัมพันธ์การผลิตชนชั้นกลาง" ซึ่งมาจากค่าใช้จ่ายของการไม่ได้รับการปรับปรุงของชนชั้นกรรมาชีพและการขาดทรัพย์สินของคนส่วนใหญ่

มาตรการและวัตถุประสงค์ในช่วงเปลี่ยนผ่านหลังการปฏิวัติ

ขั้นตอนแรกในการปฏิวัติไพร่คือ "ยกระดับชนชั้นกรรมาชีพให้เป็นชนชั้นปกครองและมุ่งมั่นเพื่อประชาธิปไตย " ในช่วงการเปลี่ยนผ่านชนชั้นกรรมาชีพจะใช้กฎทางการเมือง เพื่อ "ยึดเมืองหลวงทั้งหมดของชนชั้นกลางทีละขั้นตอนและมุ่งเน้นเครื่องมือการผลิตทั้งหมดไว้ในมือของชนชั้นกรรมาชีพ

ในประเทศที่ทันสมัยที่สุดจำเป็นต้องมีมาตรการเฉพาะกาลที่เกี่ยวข้องอย่างกว้างขวางรวมถึง แต่ไม่ จำกัด เพียง:

• เจ้าของที่ดินถูกยกเลิก และการเช่าที่ดินทั้งหมดใช้เพื่อจุดประสงค์สาธารณะ
• ใช้ ภาษีรายได้สูง
• ยกเลิกมรดกที่ถูกต้อง
• เครดิตเข้มข้น ในมือของรัฐจัดตั้งธนาคารแห่งชาติที่มีทุนของรัฐและสิทธิผูกขาดพิเศษ
• เครื่องมือ ขนส่งและการขนส่งส่วนกลาง อยู่ในมือของประเทศ
• ดำเนิน การศึกษาสาธารณะฟรี สำหรับเด็กทุกคนและยกเลิกแรงงานในโรงงานแรงงานเด็ก
• การรวมการเกษตรและอุตสาหกรรมจะส่งเสริมการกำจัดความแตกต่างของเมืองและชนบทอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ในที่สุดเป้าหมายสูงสุดของลัทธิคอมมิวนิสต์คือการตระหนักถึง "คอมมิวนิสต์" ซึ่ง "การพัฒนาฟรีของทุกคนเป็นเงื่อนไขสำหรับการพัฒนาอิสระของทุกคน"

หากคุณมีความสนใจในแนวโน้มของแนวคิดทางการเมืองเหล่านี้คุณสามารถใช้ ค่านิยมทางการเมือง 8 ค่ามีแนวโน้ม ที่จะเข้าใจแนวโน้มทางอุดมการณ์ของคุณและดูการแนะนำรายละเอียดของ อุดมการณ์ผลลัพธ์ 8 ค่าทั้งหมด

อิทธิพลที่ลึกซึ้งและคุณค่าร่วมสมัยของแถลงการณ์คอมมิวนิสต์

แถลงการณ์คอมมิวนิสต์เป็นข้อความพื้นฐานของทฤษฎีมาร์กซิสต์และหลักการหลัก (เช่นการผลิตทางเศรษฐกิจและการต่อสู้ทางชนชั้น) ยังคงถูกพิจารณาว่าถูกต้องโดยรวมในวันนี้ 175 ปีหลังจากการตีพิมพ์ของพวกเขา

วิพากษ์วิจารณ์สังคมนิยม "เท็จ"

ในบทที่ 3 การประกาศคอมมิวนิสต์วิพากษ์วิจารณ์รูปแบบต่าง ๆ ของ "สังคมนิยมเท็จ" ที่มีอยู่ในยุโรปในเวลานั้นเช่น:

• ลัทธิสังคมนิยมเชิงอนุรักษ์นิยม : รวมถึงระบบศักดินาชนชั้นกลางเล็กน้อยและสังคมนิยม "จริง" ของเยอรมัน พวกเขาพยายามที่จะฟื้นฟูสังคมศักดินาเก่าหรือเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของชนชั้นกลางเล็กน้อยที่ปฏิเสธเนื่องจากการคุกคามของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ซึ่งต่อต้านการต่อสู้ทางชนชั้น
• ลัทธิสังคมนิยมอนุรักษ์นิยมหรือชนชั้นกลาง : บุคคลประเภทนี้ต้องการ "กำจัดความเจ็บป่วยทางสังคมเพื่อให้แน่ใจว่าการดำรงอยู่ของสังคมชนชั้นกลางอย่างต่อเนื่อง" พวกเขาพยายามที่จะดำเนินการปฏิรูปการบริหารเช่นผู้ใจบุญนักมนุษยธรรมที่ต้องการ "ชนชั้นกลางที่ไม่มีชนชั้นกรรมาชีพ" รูปแบบของลัทธิสังคมนิยมนี้เป็นแบบอนุรักษ์นิยมและนักปฏิรูป
• ลัทธิสังคมนิยมและลัทธิคอมมิวนิสต์วิกฤต-Utopian : ตัวอย่างเช่น Saint-Simon, Fourier, Owen, ฯลฯ ทฤษฎีของพวกเขาขาดรากฐานทางเศรษฐกิจและความรู้สึกของการต่อสู้ทางชนชั้นมีแนวโน้มที่จะดึงดูดชนชั้นปกครองและปฏิเสธการกระทำทางการเมืองและการปฏิวัติทั้งหมด มาร์กซ์และอังกฤษเชื่อว่ามีเพียงทฤษฎีที่อยู่บนพื้นฐานของลัทธิวัตถุนิยมทางประวัติศาสตร์และการกระทำของชนชั้นกรรมาชีพคือ ลัทธิสังคมนิยมทางวิทยาศาสตร์

การเรียกร้องให้สากล

เป้าหมายสูงสุดของแถลงการณ์คอมมิวนิสต์คือ " คว่ำระบบสังคมที่มีอยู่ทั้งหมดอย่างรุนแรง " มันจบลงด้วยการเรียกสากลที่ดังเป็นศูนย์รวมของจิตวิญญาณหลัก:

"ให้ชนชั้นปกครองสั่นสะเทือนเมื่อเผชิญกับการปฏิวัติคอมมิวนิสต์สิ่งที่ชนชั้นกรรมาชีพสูญเสียในการปฏิวัติครั้งนี้เป็นเพียงโซ่สิ่งที่พวกเขาจะได้รับจะเป็นโลกทั้งโลก"

"ชนชั้นกรรมาชีพของโลกรวมกัน!" (คนงานของโลกรวมกัน!)

คุณสามารถเยี่ยมชม บล็อกอย่างเป็นทางการ ของเราต่อไปและสำรวจค่านิยมทางการเมืองและความเข้าใจในทฤษฎีเหล่านี้ต่อไป